สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งอัตราเงินเฟ้อและภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูง การฟื้นตัวหลังวิกฤติทางเศรษฐกิจในหลายประเทศอาจยังไม่สม่ำเสมอ ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจและปัญหาการค้าระหว่างประเทศหลายระลอก ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่กระทบต่อภาคธุรกิจไทยโดยตรง พื้นที่การลงทุนและความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการจึงถูกท้าทายอย่างมากในสภาวะเช่นนี้

จากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลับกลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน AI สามารถนำมาช่วยทำขั้นตอนการทำงานให้เป็นอัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ รวมถึงคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ทั้งหมดนี้ช่วยให้ลดต้นทุนและเวลาในการดำเนินงานได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันยังเปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ปัจจุบันวิวัฒนาการของ AI ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว องค์กรจึงไม่ควรมองข้ามโอกาสที่จะนำ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บทความนี้จะพาไปสำรวจบทบาทของ AI ในการพลิกโฉมธุรกิจ การขับเคลื่อนนวัตกรรม และแนวทางที่องค์กรควรเตรียมรับมือ เพื่อสร้างโอกาสด้วยพลังของ AI

จากภาพไทม์ไลน์การพัฒนาการของ AI เริ่มตั้งแต่ปี 2012 จนถึง 2024 แสดงให้เห็นว่าในเวลาไม่กี่ปี เทคโนโลยีนี้ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์สำคัญ เช่น AlphaGo (2016), GPT-3 (2020) และ ChatGPT (2022) สร้างผลกระทบทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญ คุณ Andrew Ng กล่าวว่า “AI is the new electricity” การเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้า ซึ่งปฏิวัติแทบทุกแง่มุมของชีวิตเมื่อนำมาใช้งานครั้งแรก ครั้งนี้ AI ก็จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้เช่นกัน ส่วนทางด้านธนาคาร BofA เองก็ระบุว่า ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์แบบสร้างสรรค์ (Generative AI หรือ GenAI) กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะอธิบายได้ และแทบจินตนาการไม่ออกเลยว่าความสามารถของมันในอนาคตจะไปไกลแค่ไหน แอปพลิเคชันต่างๆ ที่ใช้ GenAI เพิ่งเริ่มแพร่หลายจริงจังในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาเท่านั้น ขณะที่ระบบพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่งถือกำเนิดเมื่อประมาณ 6 ปีก่อน ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่วงการ AI มีการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปมายาวนานถึง 80 ปี ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่า AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เคยมีมา

คุณสมบัติเด่นของ AI ที่เหนือกว่าเทคโนโลยีเดิม

AI สมัยใหม่มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากเทคโนโลยียุคก่อนๆ หลายประการ เช่น:

  • Omni-use: AI เป็นเทคโนโลยีรากฐานทั่วไป (general-purpose) ที่ใช้งานได้ครอบคลุมทุกสาขา ตั้งแต่แพทยศาสตร์ การเงิน ไปจนถึงการบริการลูกค้า กล่าวคือ อัลกอริทึมชุดเดียวกันอาจถูกนำไปใช้ค้นหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ หรือปรับปรุงงานด้านการตลาดก็ได้
  • Hyper-evolution: AI ก้าวหน้าเร็วอย่างรวดเร็ว มีการเปิดตัวผลลัพธ์เทคโนโลยีใหม่ๆ แทบทุกเดือน ในขณะที่เทคโนโลยีสมัยก่อนต้องใช้เวลานานเป็นปีหรือทศวรรษกว่าจะพัฒนาขึ้นมา
  • Asymmetry: AI ลดต้นทุนการใช้งานลงมาก ทำให้การเข้าถึงพลังการคำนวณและข้อมูลทรงพลังเป็นไปได้ง่ายขึ้น ผู้ไม่หวังดีหรือคนกลุ่มเล็กๆ จึงอาจเข้าถึงเครื่องมือที่มีพลังได้ง่ายกว่าครั้งก่อน (ส่งผลให้อำนาจอยู่ที่ฝ่ายรุกมากขึ้น)
  • Autonomy: AI มีความเป็นอิสระสูงขึ้น สามารถทำงานโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งจากมนุษย์ทุกขั้นตอน เช่น ระบบวางแผนและดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ด้วยตัวเอง ทำให้ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือรับคำสั่งธรรมดาอีกต่อไป

AI กับความคิด 'Original' ของตัวเอง

เทคโนโลยียุคก่อน เช่น อินเทอร์เน็ตหรือโทรทัศน์ ทำหน้าที่เป็นช่องทางช่วย ‘ขยาย’ ความคิดมนุษย์ แต่ ‘Generative AI’ ก้าวไปอีกขั้น แม้ระบบ AI จะถูกฝึกด้วยข้อมูลจากอดีต แต่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ๆ ที่ไม่อยู่ในข้อมูลชุดเดิมเรียกว่าเกิด พฤติกรรมเกิดใหม่ (emergent behavior) งานวิจัยระบุว่า AI ยังไม่ถึงขั้น “คิด” เหมือนมนุษย์ แต่ Generative AI สามารถส่งออกผลลัพธ์ใหม่ๆ ที่โปรแกรมไม่ได้เขียนไว้โดยตรง หรือก็คือ AI กำลังเข้าใกล้ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์แบบใหม่ (Original Thought) ได้มากขึ้น

สเปกตรัมของ AI: 5 ระดับ 3 เฟส

แผนภาพ AI Spectrum แสดงการแบ่งคลื่น AI ออกเป็น 5 ระดับตาม 3 เฟสหลัก ได้แก่ AI Narrow (ANI), AI ทั่วไป (AGI) และ AI Capable (ACI/ASI). อธิบายแต่ละระดับสั้นๆ ดังนี้:

ระดับ 1 (ANI – Artificial Narrow Intelligence): ปัญญาประดิษฐ์ขั้นพื้นฐาน ตอบสนองคำสั่งหรือสนทนากับมนุษย์ (เช่น แชทบอททั่วไป) โดยไม่ใช้เครื่องมือเสริม

ระดับ 2 (AGI - Artificial General Intelligence): ระบบที่มี LLM เป็นแกนกลาง ช่วยงานเฉพาะด้าน เช่น ผู้ช่วยเขียนโค้ด (GitHub Copilot) หรือเครื่องมือ AI ช่วยค้นหาข้อมูล

ระดับ 3 (Agent-as-a-Service): AI ที่ตั้งโปรแกรมให้ทำงานอัตโนมัติตามกระบวนการกำหนดไว้ เป็นบริการ (Agent) เช่น ระบบอัตโนมัติสำหรับงานธุรกิจหรือการวิเคราะห์ข้อมูล

ระดับ 4 (Autonomous Agents): ระบบอัจฉริยะอิสระที่มี LLM เป็นแกนหลัก สามารถรับคำสั่งซับซ้อนและปฏิบัติงานหลายขั้นตอนเองได้ เช่น ระบบนำทางอัตโนมัติที่เรียนรู้และตัดสินใจเอง

ระดับ 5 (ASI – Artificial Superintelligence): สมองกลขั้นสูงสุด ทำงานและคิดแก้ปัญหาแทนคนได้เต็มรูปแบบ (คล้ายหุ่นยนต์ที่เรียนรู้และสร้างนวัตกรรมใหม่ได้เอง)

การเติบโตและต้นทุนของ AI

ในช่วงปีหลังๆ AI เติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งด้านประสิทธิภาพและต้นทุน จากรายงาน CNAS ระบุว่า ปริมาณการประมวลผล (compute) ที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI เพิ่มเป็นสองเท่าทุกๆ 6–7 เดือน ขณะเดียวกัน ซีอีโอ OpenAI ระบุว่า ต้นทุนในการเข้าถึง AI ลดลงประมาณ 10 เท่าทุกปี ตัวอย่างเช่น ราคาต่อข้อความใน GPT-4 ลดลงจากหลักสิบดอลลาร์ต่อล้านโทเคน เหลือเพียงหลักสิบเซนต์ภายในเวลาเพียงปีเดียว ปรากฏการณ์นี้ทำให้ AI กลายเป็นเทคโนโลยีที่ลดต้นทุนเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และทุกภาคส่วนกำลังเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การเตรียมรับมือและแนวทางการก้าวสู่ยุค AI

ท้ายที่สุด ผลกระทบจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในหลายด้าน องค์กรจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือผ่านการปรับปรุงรูปแบบการทำงานและโครงสร้างภายในให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อาทิ การลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน ปรับกระบวนการให้คล่องตัว และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้แข็งแกร่งขึ้น

นอกจากนี้ บุคลากรต้องเสริมทักษะดิจิทัลใหม่ๆ ให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป โดยวัฒนธรรมองค์กรต้องเปิดรับนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง หากองค์กรไม่เตรียมพร้อมก็อาจพลาดโอกาสสำคัญหรือถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในยุคที่ AI เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการแข่งขันธุรกิจ

  1. สำรวจโอกาสและประเมินความพร้อม: ศึกษาศักยภาพของ AI ที่สอดคล้องกับธุรกิจ วิเคราะห์กระบวนการงานปัจจุบันและข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อกำหนดเป้าหมายและวิธีการนำ AI ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  2. พัฒนาทักษะและทีมงาน: ลงทุนในการอบรมและสร้างทีมงานที่มีความรู้ด้านดิจิทัลและ AI ฝึกอบรมบุคลากรภายใน ปรับโครงสร้างทีมงานให้มีความคล่องตัว เพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในองค์กร
  3. ทดลองนำร่องโครงการ AI: เริ่มต้นด้วยโครงการนำร่อง (Pilot) ขนาดเล็กเพื่อทดสอบแนวทางและเทคโนโลยี เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอัจฉริยะ หรือระบบการผลิตอัตโนมัติ จากนั้นวัดผลและปรับปรุงก่อนขยายผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  4. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับนวัตกรรม: ส่งเสริมให้พนักงานมีความคิดริเริ่ม สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลองผิดลองถูก และยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้องค์กรปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
  5. ร่วมมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยี: ทำงานร่วมกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI และเข้าใจบริบทของธุรกิจ

Beryl 8 Plus เราให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมศักยภาพให้กับทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และพัฒนาโซลูชันเฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและเกิดผลลัพธ์ที่แท้จริง

เราเข้าใจบริบทธุรกิจไทยเป็นอย่างดี และพร้อมร่วมเป็นพันธมิตรเคียงข้างธุรกิจของคุณ ตั้งแต่เริ่มต้นวางกลยุทธ์ไปจนถึงการพัฒนาโซลูชันเฉพาะทางที่ตอบโจทย์ตรงจุด เพื่อช่วยให้องค์กรของคุณก้าวไปสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างมั่นใจ

อยากเริ่มต้นกับ AI อย่างมั่นใจ ติดต่อเพื่อปรึกษาเราได้ที่นี่